ชีวประวัติ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช

สยามรัฐ



"ผมเสนอเอาชื่อ สยามรัฐ ดีกว่า เพราะเห็นชื่อนั้นในเหรียญบาท
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ท่านก็ไปเรียกคุณช่วง สเลลานนท์
ซึ่งเป็นช่างเขียนลายในธนบัตรประจำธนาคารชาติ
มาเขียนหัว สยามรัฐ ให้"

ม. ร. ว. คึ ก ฤ ท ธิ์   ป ร า โ ม ช  
น า ย ก รั ฐ ม น ต รี ค น ที่ ๑๓



ปาฐกถาแด่พระภิกษุนักศึกษา

"...กระผมเคยพูดเสมอว่า นายกรัฐมนตรีของเมืองไทยที่จะใช้การได้นั้น
เพื่อให้ระบบประชาธิปไตยเจริญต่อไปนั้น จะต้องเป็นอัครมหาเสนาบดีคนสุดท้าย
แล้วเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก
คือจะต้องเข้ามาในลักษณะที่ให้ข้าราชการประจำเขายำเกรงอย่างที่เขาเคยเคารพยำเกรง
อัครมหาเสนาบดี แต่ขณะเดียวกันท่านผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่รู้จักระบบประชาธิปไตย
มีความต้องการระบอบประชาธิปไตย และทำงานเพื่อจะ Liquidate
ทำให้ความเป็นอัครมหาเสนาบดีของตนเองนั้นสลายตัวไปได้
ด้วยความปลอดภัยของบ้านเมือง แล้วก็มีนายกรัฐมนตรีรับช่วงต่อไป..."

"ตามที่สภาผู้แทนฯ ได้ลงมติให้จ่ายเงินเพิ่มแก่สมาชิกผู้แทนเดือนละ ๑,๐๐๐ บาทนั้น
ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไว้วางใจของประชาชนได้อีกต่อไป จึงขอลาออกจากตำแหน่ง"



      สถานการณ์ทางการเมืองของไทยยังอยู่ในช่วงผันผวน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เริ่มต้นชีวิตนักการเมืองเมื่อเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง พรรคก้าวหน้า พรรคการเมืองแรกของไทย

ภายหลังการเปลี่ยนแปลง

ก า ร ป ก ค ร อ ง



      ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับมติของสภาผู้แทนราษฎรที่ขึ้นเงินเดือนให้แก่สมาชิกฯ ที่นับเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันแสดงถึงความเป็นผู้แทนราษฎรที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของราษฎรอย่างแท้จริง หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อ พ.ศ. 2491 และต่อมาก็ได้ขอลาออก

      ได้นำวิธีปราศรัยหาเสียงในสถานที่สาธารณะหรือ ไฮด์ปาร์ก มาใช้หาเสียงให้แก่ ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ในการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร เขต ๑ ต่อมา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในจังหวัดพระนคร เขต ๓

      ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ยุบรวมพรรคก้าวหน้า เข้ากับกลุ่มการเมืองสำคัญแล้วก่อตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ โดยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคและได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นายควง อภัยวงศ์

หลังจากลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ยุติบทบาทในฐานะนักการเมือง
แต่ยังคงแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างเข้มข้น
ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ก่อตั้งพรรคการเมือง
ชื่อ พรรคกิจสังคม โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
พรรคกิจสังคมลงเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘
มีสมาชิกพรรคได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียง ๑๘ คน
แต่ได้สร้างเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย
ด้วยการที่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคประชาธิปัตย์ที่มี
จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสูงสุด โดยอภิปรายตอบโต้นโยบายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จนในที่สุดสภาฯ มีมติไม่ไว้วางใจนโยบายของรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยร่วมกับพรรคต่างๆ จัดตั้งเป็นรัฐบาลสหพรรค โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

"ตามที่สภาผู้แทนฯ ได้ลงมติให้จ่ายเงินเพิ่มแก่สมาชิกผู้แทนเดือนละ ๑,๐๐๐ บาทนั้น
ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไว้วางใจของประชาชนได้อีกต่อไป จึงขอลาออกจากตำแหน่ง"

วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๙

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรด้วยเหตุที่รัฐบาล
เป็น รัฐบาลผสมหลายพรรค แม้จะพยายามประสานประโยชน์ทุกฝ่าย
แต่ก็ยังไม่มีเสถียรภาพเท่าที่ควร ทำให้ต้องเผชิญกับปัญหาทางการเมืองหลายประการ

"เราทำได้"

"...เรายังเห็นว่า บ้านเมืองนี้ ยังต้องการคนที่พร้อมจะเสียสละทำการงานอีกมาก
โดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทนก็เลยตั้งพรรค (กิจสังคม) นี้ขึ้น เพื่อที่จะมีส่วนเข้าส่งเสริม
แล้วก็รักษาระบอบประชาธิปไตย
แล้วก็ทำการงานให้บ้านเมืองตามระบอบประชาธิปไตยจะอำนวยให้..."


"...ขณะนี้ผมในฐานะผู้แทนราษฎรของท่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคกิจสังคมก็ได้แต่คอยขอร้องเจรจา เสนอแนะมั่ง ทักท้วงมั่ง รัฐบาลไทย ซึ่งกระผมไม่ได้เป็น...
ผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ผมไม่ได้เป็นอะไร ก็ได้แต่ส่งข่าวเข้าไปว่าเรื่องนั้นมันควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ ที่ท่านเชื่อท่านฟังก็มี ไม่ใช่ว่าท่านไม่เชื่อไปหมด แต่บางอย่างท่านก็ไม่เชื่อ กระผมก็ใจเย็นพอที่จะต้องพูดจาชี้เหตุชี้ผลกันต่อไป กระผมไม่ได้ทอดทิ้ง..."

"...พี่น้องทั้งหลาย จงทำใจให้ดีไว้ครับ อย่าได้ตระหนกตกใจอะไรทั้งสิ้นขอให้ไว้ใจกันเถิด
อย่างน้อยก็มีพรรคกิจสังคม ซึ่งมีความคิดอย่างนี้ มีความคิด
มีเจตนาที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกอย่างโดยไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องทั้งหลาย
ไปทำให้เรื่องหนักมันหนักลงไปอีก ไม่ได้คิดเห็นแก่ตัวเห็นแก่รัฐบาล
ไม่ได้แยกรัฐบาลออกจากประชาชน ไม่ได้คิดว่ารัฐบาลจะต้องเอาตัวรอด ประชาชนเป็นอย่างไรช่างมัน..."




คำปราศรัยหาเสียงครั้งสุดท้าย ในฐานะหัวหน้าพรรคกิจสังคม ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๘





"...พี่น้องทั้งหลาย จงทำใจให้ดีไว้ครับ อย่าได้ตระหนกตกใจอะไรทั้งสิ้นขอให้ไว้ใจกันเถิด
อย่างน้อยก็มีพรรคกิจสังคม ซึ่งมีความคิดอย่างนี้ มีความคิด มีเจตนาที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกอย่างโดยไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องทั้งหลาย
ไปทำให้เรื่องหนักมันหนักลงไปอีก ไม่ได้คิดเห็นแก่ตัวเห็นแก่รัฐบาล
ไม่ได้แยกรัฐบาลออกจากประชาชน ไม่ได้คิดว่ารัฐบาลจะต้องเอาตัวรอด ประชาชนเป็นอย่างไรช่างมัน..."


"ข้าพเจ้ามิใช่คอมมิวนิสต์ แต่ข้าพเจ้ามาหาเพื่อน"

“I am no communist, yet why can’t we be friend?”




"ที่ข้าพเจ้าจะไปเยือนจีนนั้นมีความประสงค์ 3 ข้อ


1. นโยบายของรัฐบาลคือต้องผูกมิตรกับทุกประเทศ
วัตถุประสงค์หลักที่ไปจีนก็คือจะไปสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต
2. เป็นเพราะคนไทยบางคนไม่เข้าใจจีน พานนึกไปต่างๆ นานา
ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ การคาดเดาที่อารมณ์ความรู้สึกนั้น
ไม่อาจทดแทนข้อเท็จจริงได้ เขาดีหรือไม่ดี ควรไปดูด้วยตาตัวเอง
3. ไปรู้จักกับผู้นำจีนเอาไว้ ไปรู้จักนิสัยใจคอเขาไว้ ว่าเป็นคนชอบอะไร
เกลียดอะไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีในอนาคต"

"สถานการณ์ในเอเชียเปลี่ยนไปมาก...
เราจะเริ่มนโยบายกันใหม่
ประการแรกก็คือผูกมิตรให้มาก
ไม่ว่าเขาจะมีลัทธิใด"

"สถานการณ์ในเอเชียเปลี่ยนไปมาก...
เราจะเริ่มนโยบายกันใหม่
ประการแรกก็คือผูกมิตรให้มาก
ไม่ว่าเขาจะมีลัทธิใด"

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
กับ
พณฯ โจว เอิน ไหล