สักวาศิษย์ฉ่อย
ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ทรงประพันธ์กลอนสักวา ถึงวัฒนา ภู่โอบอ้อม สักวา นั่งมอง ต๋อง ศิษย์ฉ่อย
แทงสนุ้ก เลิศลอย หาใครสู้
นั่งชมศิษย์ ทำให้คิดไปถึงครู
อยากจะรู้ ว่าฉ่อย นั้นคือใคร
ทำอะไร อยู่ที่ไหน ใคร่ขอถาม
จะได้ตาม ไปเป็นศิษย์ พิสมัย
ชื่อคึกฤทธิ์ ศิษย์ฉ่อย น้อยเมือ่ไร
จงเห็นใจ ตอบสารา มาหน่อยเอย (ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ พ.ศ 2534) นายโกวิน ภู่โอบอ้อม (ฉ่อย ซู่ซ่าส์) บิดาของวัฒนา ภู่โอบอ้อมได้โต้ตอบสักวา สักวา นั่งมอง ตรองจนดึก
ต้องมานั่ง คิดลึก นึกหดหู่
ท่านคึกฤ
ซือแป๋คิดลึก
หว่อปู๋พ่าหนี่….. กูไม่กลัวมึง….. วาจาข้างต้นไม่ใช่คำหยาบ แต่เป็นคำพูดประวัติศาสตร์ ซึ่งเจ้าของคำพูดนี้ ได้กลายเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ไทยไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2538 พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ ทิ้งไว้แต่ผลงานฝากไว้แก่แผ่นดินซึ่งชีวิตของท่านผ่านมาทั้งหมด 4 แผ่นดินตั้งแต่รัชการที่ 6-9 อาจารย์หม่อม ตามที่คนไทยส่วนใหญ่เรียกกันติดปากทิ้งประเทศนั้น มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ถึง 84 ปีอย่างมีสีสันแทบจะกล่าวได้ว่า มีคนไทยหรือกระทั่งคนต่างชาติ น
ซอยสวนพลู : ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๗
“คึกฤทธิ์อารมณ์กลับหันมาง้อให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ เปลี่ยนจุดยืนที่เคยห้าม ส.ส.ไม่ให้ขับเปรม กลับเป็นหนุน บอก ทำให้ก็ดี” ข้างต้นนี้เป็นเนื้อข่าวหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2527 ครับ เขียนข่าวกันง่ายๆ แบบนี้ ก็ต้องตอบกันแบบกุ๊ยๆ เช่นเดียวกัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม สมาชิกสภานิติบัญญัตินัดพบปะสังสรรค์กันที่โรงแรมดุสิตธานี หลังจากที่ได้ห่างเหินกันไปถึงสิบปี ผมก็ไปในงานนี้ ขณะที่ผมเดินจะไปเข้าห้องอาหาร พร้อมด้วยสมาชิกสภานิติบัญญัติ อีกหลายท่าน เท่าที่ได้
ซอยสวนพลู : ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๘
ไอ้ตี๋ใหญ่ตายเสียแล้ว เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤษภาคมนี่เอง เป็นอันว่าผมหมดทุกข์หมดโศกหมดกรรมหมดเวร ไม่ต้องชั่งใจบาปใจกรรมคอยแช่งให้กันตายทุกเสาร์อาทิตย์ ที่พูดมานี่มีความหมายมาก เพราะเหตุที่ผมนั่งแช่งไอ้ตี๋ใหญ่ในโทรทัศน์นั้น ก็เหตุเพราะว่าละครโทรทัศน์เรื่องตี่ใหญ่นั้น ทำได้ดีเห็นจริงเห็นจังเหลือเกิน จนผมซึ่งเป็นคนดูเคลิบเคลิ้มไปว่าเป็นเรื่องจริง และเห็นว่านักแสดงเป็นตัวตี๋ใหญ่นั้นเป็นโจรจริงๆ ด้วย จึงนั่งแช่งให้ตายทุกนัด เมื่อนึกอย่างนี้แล้วก็ไม่เคยนึกไม่เคยสนใจว่าผู้
ข้าวไกลนา : ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๙
ได้อ่านบทความ เทศกาลบ้านเมือง ของท่าอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันที่ ๑๔ ธันวาคมแล้ว เรื่องนิยายอิสป เรื่องเด็กเลี้ยงแกะที่ชอบร้องหลอกชาวบ้านว่า มีหมาป่าเข้ามากินแกะ ผมกลับมีความเห็นตรงข้าม ไม่ใช่มีความเห็นตรงข้ามกับท่านอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ หรอกครับ แต่มีความเห็นตรงข้ามกับนิทานอิสป ตามเรื่องในนิทานอิสปนั้น เมื่อเด็กเลี้ยงแกะชอบหลอกชาวบ้านว่า มีหมาป่าเข้ามา บ่อยครั้งเข้า ชาวบ้านก็พาเลิกเชื่อถือเด็ก ครั้นพอมีหมาป่าเข้ามาจริงๆเด็กไปร้องเรียกให้ชาวบ้าน
ข้าวไกลนา : ๑๗ ธันวาคม ๒๕๑๙
ได้เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ลงคำให้สัมภาษณ์ของท่านรัฐมนตรมหาดไทย ว่า เวลานี้ มีตัวแทนของเวียดนามตอนเหนือทำงานอยู่ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ผมเองไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน เพราะเดี๋ยวนี้ ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์สยามรัฐแต่อย่างไรทั้งสิ้น นอกจากเขียนบทความ “ข้าวไกลนา” ส่งโรงพิมพ์ ทุกวัน โดยมีค่าตอบแทนเป็นธรรมดา ผมไม่มีหน้าที่บริหารโรงพิมพ์ ไม่มีอำนาจอย่างใดในโรงพิมพ์ หุ้นในบริษัทสยามรัฐก็ไม่มี เพราะได้โอนให้คนอื่นไปหมดแล้ว โรงพิมพ์สยามรัฐผมก็ไม่ได้ไป ใครเป็นใครในสยามร
ข้างสังเวียน : ๑๔ มกราคม ๒๕๒๑
คุญปริม บุญนาค ได้มาหาผมเมื่อวันก่อน แล้วบอกว่า เสด็จให้มาเชิญคุณน้าไปดูหนังอัศวินเรื่อง “ยมบาลจ๋า” ในคืนที่ ๑๒ มกราคม นี้ ที่โรงแรมดุสิตธานี เสด็จในที่นี้ คือ ท่านพระองค์ชายใหญ่ ได้แก่พระเจ้าวรวงค์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธ์ ยุคล “คุณน้า” ก็คือ ผม ซึ่งเสด็จท่านเรียกว่า คุณน้า ก็ทำไมผมถึงไปเป็นน้าเจ้านายขนาดนั้นเล่า เสด็จท่านรับสั่งว่า พ่อผมเป็นยายของท่าน ลูกของยายก็ต้องเรียกว่าน้า เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งเอะอะไป เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาทางการแพทย์ ท่านแม่ของเสด็จ คือ พระเจ้าว
ข้างสังเวียน : ๒๔ มิถุนายน ๒๕๒๓
ในวันที่ ๒๕ มิถุนายนนี้ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ จะมีอายุครบ ๒๘ ปีบริบูรณ์และย่างเข้าอายุ ๒๕ ปี เด็กที่เกิดวันเดียวกันกับสยามรัฐนั้น หากมีอายุอยู่มาจนถึงขณะนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกประการ ถ้าจะพูดด้วยความรู้สึกของคน ที่ได้มาร่วมมือกันก่อตั้ง หนังสือพิมพ์สยามรัฐขึ้น ระยะเวลายี่สิบกว่าปี และร่วมสามสิบปีนี้ ก็ดูเหมือนกับว่าเป็นระยะเวลาอันสั้น เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต เมื่อแรกออกหนังสือพิมพ์สยามรัฐนั้น ยังสดอยู่ในความทรงจำ แต่
คึกฤทธิ์ในทัศนะของสำนักข่าวรอยเตอร์
สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่าม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในห้วงที่ ถือกันว่าเป็นสภาพลำเค็ญที่สุด ของยุคสมัยปัจจุบัน ไม่เพียงต้องเผชิญกับระบอบประชาธิปไตยแบบใหม่ ที่ไม่เคยได้ลิ้มลองกันมาก่อนเท่านั้น หากยังต้องต่อสู้กับแรงกดดัน ทั้งภายใน และภายนอก รวมทั้งหลายกรณีที่เกิดจากการปะทะกัน ด้วยกำลังระหว่างฝ่ายซ้าย และฝ่ายขวา เป็นผู้พลิกโฉมหน้านโยบายต่างประเทศครั้งสำคัญของไทย จากที่เคยใกล้ชิดขนาดถูกกล่าวหาว่าตามก้นอเมริกันไปทุกเรื่อง ให้กลายเป็นมิตรประเทศกับจีน และอยู่ในระด
คึกฤทธิ์ในทัศนะของเดนนิส เกรย์
เดนนิส เกรย์ ระบุว่า เมื่อม.ร.ว.คึกฤทธิ์หันมาเล่นการเมือง ก็เป็นนักการเมืองระดับ “ปรมาจารย์” เมื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็รังสรรค์ความเป็นนักการทูตชั้นนำ เอาไว้ให้เป็นตัวอย่าง ด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ดึงไทยออกมาอยู่ห่างจากอิทธิพลของชาติมหาอำนาจเท่าเทียมกัน และเป็นผู้ดำเนินการถอนทัพ ของทหารอเมริกันกว่า 40,000 คนกลับประเทศ เดนนิส เกรย์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเอพีประจำกรุงเทพฯ
มติชนสุดสัปดาห์ 17ต.ค. 2538 #เดนนสเกรย #การเมอง #คกฤทธ #คกฤทธในสายตาผ